วิล สมิธ ทำให้ ความรักแปลงเป็น ‘แพะรับบาป’ ของความร้ายแรง

วิล สมิธ ทำให้ ความรักแปลงเป็น ‘แพะรับบาป’ ของความร้ายแรง
คอลัมน์ คัดสรรมาเล่า
การกระทำร้ายแรงของ วิล สมิธ บนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 เดือนมีนาคม ที่เปลี่ยนเป็นข่าวสารดังอื้อฉาวโลก เมื่อผู้แสดงนำชายฮอลลีวูดวัย 53 เดินขึ้นเขาเวทีตบหน้า คริส ร็อก ดาราตลกโด่งดังอย่างแรง ภายหลังร็อกกล่าวล้อเลียนทรงผมสรับประทานเฮดของ เจดา อิงเก็ตต์ เมียของสมิธที่ป่วยด้วยโรคตกเป็นหย่อม จนกระทั่งตกลงใจโกนหัว
จากนั้นเมื่อสมิธ เดินขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ผู้แสดงนำฝ่ายชายดีเลิศ จากหน้าที่ในรูปภาพยนตร์เรื่อง คิง ริชาร์ด สมิธได้เอ๋ยถึงสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีด้วยน้ำตาประโยคหนึ่งว่า “ความรักทำให้พวกเราสามารถทำอะไรที่บ้าๆบอๆ” รวมทั้งว่าเขาจะต้องคุ้มครองปกป้องครอบครัว มีนักจิตวิทยาคิดว่าเป็นการติดต่อที่ ‘อันตราย’

โจ หว่อง  ศ.จ.และก็หัวหน้าฝ่ายให้คำแนะนำแล้วก็จิตวิทยาการเรียนรู้มหาวิทยาลัยอินเดียนา ยูนิเวอร์สิตี บลูมไม่งตัน ในอเมริกา บอกว่า “ผมมีความคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้คนจะต้องเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นดังที่มันเป็น อย่าทำให้ วิล สมิธ เอาชีวิตรอดด้วยการกล่าวถึงว่ามันเป็นการปฏิบัติเพราะเหตุว่าความรัก ครั้งใดก็ตามพวกเราเอาความรักไปเปรียบเทียบกับการปองร้ายหรือความนิสัยเสีย มันก่อให้เกิดอันตรายที่คำบอกเล่าพวกนั้นสามารถกำกวม งงมากได้”
หว่อง มีความเห็นถึง เพศชายที่แสดงกริยาความเป็นผู้ชายไม่เหมาะสม เช่นใช้กำลังจัดการกับปัญหา เวลามองเห็นคนที่อาศัยอยู่ภายในครอบครัวถูกทำร้ายว่า แท้จริงเพศชายพวกนั้นรู้สึกราวกับตนเองกำลังถูกดูแคลนเกียรติยศ “ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผัวเมีย มักมองดูอีกข้างเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเอง ด้วยเหตุนี้การดูถูกเหยียดหยามเมีย เหยียดหยามลูกๆก็พอๆกับลบหลู่ดูหมิ่นตัวเขาเองด้วย”
จากผลการศึกษาเรียนรู้ที่พิมพ์ในนิตยสารนานาประเทศด้านการค้นคว้าสภาพแวดล้อมและก็สาธารณสุข พบว่า คำกล่าวของสมิธบนเวทีออสการ์ เป็นประโยคที่เหยื่อคนรอดชีวิตจากความร้ายแรงในครอบครัวต่างเคยชิน เนื่องจากว่ามีเพศชายไม่น้อยที่อ้างถึงว่า ความร้ายแรงที่พวกเขาปฏิบัติไป เป็นเนื่องจากว่าความรักก่อนหน้านี้ ความรักก็เลยเปลี่ยนเป็น ‘แพะรับบาป’ ของความร้ายแรง
หว่อง แนะถึงขั้นตอนการทำลายวงจรความประพฤติ ที่เพศชายถูกปลูกฝังว่า การแสดงความร้ายแรง เป็นการแสดงออกถึงความเป็นผู้ชายว่า จุดกำเนิดที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งเป็น ผู้ผ่านไปมาที่มองเห็นเหตุจำต้อง ‘ด่าว่า’พฤติกรรมที่ร้ายแรง ซึ่งนับว่าเป็นความประพฤติปฏิบัติเชิงบวกของผู้ดู
   “เป็นเรื่องสำคัญมากมายที่เพศชายจะต้องพูดว่า พวกเขาจะไม่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของความประพฤติปฏิบัติพวกนั้น นี่เป็นสิ่งซึ่งสามารถทำเป็นจริง ที่สามารถช่วยกันทำลายการแสดงการกระทำความเป็นผู้ชายที่ผิดจำต้อง”

โรนัลด์ เลแวนต์ ศ.จ.เกียรติยศทางด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยแอครอน ในเมืองโอไฮโอ สหรัฐฯ มีความเห็นว่า ต้องมีการปลูกฝังความนึกคิดที่ถูกตั้งแต่เด็ก โดยว่า ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเด็กชายมักถูกสอนจาก บิดามารดา คุณครู คนดูแลว่า อย่าร้องไห้ หรือ ห้ามแสดงความรู้สึก ความรู้สึก แม้กระนั้นที่แท้ “พวกเขาจำต้องรู้ดีว่าไม่มีความสำคัญ แล้วก็พวกเขาสามารถเป็นตัวเอง มันไม่มีชุดของบุคลิกที่ถูกตั้งไว้ล่วงหน้าที่พวกเขาจำเป็นต้องประพฤติตาม”
เลแวนต์ พูดว่า อีกทั้งเด็กชาย เด็กสาว มีสิทธิแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึกได้เสมอภาค
ในเวลาที่ วิซดอม พาวเวลล์ รศ.จิตเวชที่ยูคอนน์ เฮลธ์ ในฟาร์มิงตัน เมืองคอนเนตทิคัต ชี้แนะว่า คนแก่ต้องสอนเด็กชายให้ทราบแนวทางแสดงความอ่อนแอ รวมทั้งการใช้คำกล่าวสำหรับในการแก้ไขปัญหาความไม่ถูกกันมากยิ่งกว่าใช้ความรุนแรง